กระทู้นี้จะมาเล่าเรื่องตัวเองตอนไปพบจิตแพทย์ ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเราเคยไปมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อปีก่อน เพราะตอนนั้นมีปัญหาเรื่องรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกัน จนเราลาออก พอตกงานก็ไม่หายเครียด เพราะไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าลาออกแล้ว เราจึงไปพบจิตแพทย์ หมอบอกว่าเรามีอาการซึมเศร้า และก็ให้ยา Sertraline มากินทั้ง 2 ครั้ง แต่พอยาหมดเราก็เลิกกิน ประกอบกับเราได้งานใหม่พอดี พอได้งานใหม่ก็หายเครียด จึงไม่ได้ไปหาจิตแพทย์อีก
และวันนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 ที่เราไปพบจิตแพทย์ หลังจากที่เราตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้สึกไม่อยากไปทำงาน เราจึงตัดสินใจลาป่วย และไปหาจิตแพทย์ที่สถาบันเดิม ไปถึงตอน 7 โมงกว่าๆ (สามารถรับคิวได้ตั้งแต่ 7-11 โมง) มีผู้ป่วยมารอพบหมอเพียบเลย แต่ละคนดูท่าทางปกติกันทั้งนั้น เราก็ไปยื่นบัตรผู้ป่วยที่ชั้น 3 และรับบัตรคิวสำหรับพบพยาบาล จากนั้นไปชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เสร็จแล้วก็ไปนั่งรวมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ เพื่อรอพยาบาลเรียกตามคิว ระหว่างที่รอเราก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน พอพยาบาลเรียกมาถึงคิวเรา เราก็เดินเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งพร้อมกับผู้ป่วยอีกประมาณ 10 คน แล้วพยาบาลก็จะเรียกไปถามข้อมูลนิดหน่อย ก่อนจะคืนบัตรผู้ป่วยให้เรา และให้บัตรคิวสำหรับรอพบหมอ
พอได้บัตรคิวมาแล้ว เราก็เดินขึ้นไปชั้น 4 เพื่อรอพบหมอ มีหมออยู่หลายคน หลายห้อง วันนี้บังเอิญมีนักกายภาพบำบัดมาพูดสอนเรื่องการบริหารสมองด้วย เรามองไปยังบรรดาผู้ป่วย เกือบทุกคนดูท่าทางปกติ บางคนดูเหมือนเป็นคนสุขภาพจิตดีด้วย บางคนใส่ชุดออกกำลังกายด้วย เว้นเสียแต่มีตาลุงอยู่คนนึง ที่ดูเหมือนจะอาการหนักหน่อย คือเขาพูดพร่ำไปเรื่อย พูดหลายเรื่อง บ่นและหัวเราะคนเดียวไม่หยุด แต่เขาก็ยังมีสติอยู่เวลามีเจ้าหน้าที่มาเรียกมาถาม เขานั่งข้างๆเราพอดี ผู้ป่วยแต่ละคนเดินเข้าไปในห้องหมอแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว พอคนก่อนหน้าเราเดินออกมาจากห้องหมอ เราก็เดินเข้าไปในห้องหมอต่อ (เราได้ยินเสียงตาลุงนั่นพูดอยู่ด้านหลังเราว่า "แล้วเธอก็จากไป")
ในห้องหมอ หมอที่เราพบ เป็นผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนเดียวกับที่เราเคยพบเมื่อ 2 ครั้งก่อนนี้ (หมอคนนั้นคงไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว) หมอพลิกแฟ้มดูประวัติการรักษาของเราเมื่อ 2 ครั้งก่อน แล้วก็ถามเราว่าวันนี้มาหาหมอด้วยเรื่องปัญหาอะไร เราก็เล่าปัญหาจากที่ทำงานให้หมอฟัง บอกไปว่ามีปัญหากับหัวหน้าที่ใจร้อน บอกว่าเราเป็นคนเงียบๆ หัวหน้าไม่เข้าใจ คอยตำหนิและกดดันตลอด ปฏิบัติต่อเราต่างจากคนอื่นด้วย ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ หมอถามว่าลาออกจากงานแล้วยัง เราตอบว่ายังไม่ออก แต่ก็รู้สึกอยากออกอยู่เหมือนกัน หมอถามด้วยว่าเคยคิดทำร้ายตัวเองไหม เราก็ตอบว่าไม่ (เราอาจเคยคิดเล่นๆ แต่เราไม่ทำจริงหรอก กลัวเหมือนกัน)
คำแนะนำของหมอที่มีให้เราคือ เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือกล้าพูดให้มากขึ้น ต้องบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้หัวหน้ารู้ อาจช่วยลดความกังวลและทำให้อะไรๆ ดีขึ้น (เราก็แอบคิดในใจว่า "ถ้าเรากล้าพูด เราคงไม่เครียดจนต้องมาหาหมอหรอก") เราก็บอกหมอไปว่า เราเองก็อยากพูดความรู้สึกกับหัวหน้านะ แต่เรากลัว เราไม่รู้ว่าพอพูดออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น (หัวหน้าเราใจร้อน และเขาค่อนข้างยึดมั่นกับความคิดตัวเอง เรากลัวว่าพูดแล้วจะเกิดผลเสีย เรายิ่งเถียงใครไม่เก่งด้วย) หมอบอกว่า ถ้าไม่ได้ใช้คำพูดหยาบคายก็คงไม่เป็นไรหรอก ลองพูดดูสิ บางทีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ จากนั้นหมอก็ให้ยามากิน คือยา Sertraline และยา Polizep
พอพบหมอเสร็จแล้ว ก็เดินลงไปรับยาและจ่ายเงินที่ชั้น 2 สรุปจ่ายไปทั้งหมด 265 บาท (รวมค่าบริการ 100 แอบแพงนะเนี่ย) รวมๆแล้วใช้เวลาทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้าย ประมาณ 3 ชม.
---------------------------------------------------------
ใครอยากไปพบจิตแพทย์ เราแนะนำให้ไปโรงพยาบาลที่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ (แต่เราไม่ได้ไป เพราะมันไกล เราไปสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ต้องออกเงินเองทั้งหมด) หรือถ้าใช้สิทธิ์ 30 บาทได้ก็ใช้เลย และควรจะเตรียมตัวสักหน่อย คือคิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะเล่าปัญหาอะไรให้หมอฟังบ้าง เล่าให้ครบทุกปัญหา ซึ่งเราไม่ได้คิดมาล่วงหน้า เพราะพอนึกจะไปพบจิตแพทย์ เราก็ไปทันทีเลย จึงมีหลายเรื่องที่เราลืมเล่าให้หมอฟัง และถ้าใครอยากเจอหมอที่มีเวลารับฟังปัญหาของเรานานๆ หรือมีเวลาคุยกับเรานานๆ ก็อย่าเลือกโรงพยาบาลรัฐที่มีผู้ป่วยเยอะๆ เพราะแต่ละคนได้ใช้เวลาพบหมอแค่แป๊บเดียว เราเองเข้าไปคุยกับหมอ ยังไม่ทันรู้สึกดีขึ้น ก็ต้องออกจากห้องหมอแล้ว คิดเสียว่าไปเพื่อขอยามากินละกัน
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับใครบ้าง
เมื่อไปพบจิตแพทย์ครั้งที่ 3 เพราะปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน
และวันนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 ที่เราไปพบจิตแพทย์ หลังจากที่เราตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้สึกไม่อยากไปทำงาน เราจึงตัดสินใจลาป่วย และไปหาจิตแพทย์ที่สถาบันเดิม ไปถึงตอน 7 โมงกว่าๆ (สามารถรับคิวได้ตั้งแต่ 7-11 โมง) มีผู้ป่วยมารอพบหมอเพียบเลย แต่ละคนดูท่าทางปกติกันทั้งนั้น เราก็ไปยื่นบัตรผู้ป่วยที่ชั้น 3 และรับบัตรคิวสำหรับพบพยาบาล จากนั้นไปชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เสร็จแล้วก็ไปนั่งรวมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ เพื่อรอพยาบาลเรียกตามคิว ระหว่างที่รอเราก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน พอพยาบาลเรียกมาถึงคิวเรา เราก็เดินเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งพร้อมกับผู้ป่วยอีกประมาณ 10 คน แล้วพยาบาลก็จะเรียกไปถามข้อมูลนิดหน่อย ก่อนจะคืนบัตรผู้ป่วยให้เรา และให้บัตรคิวสำหรับรอพบหมอ
พอได้บัตรคิวมาแล้ว เราก็เดินขึ้นไปชั้น 4 เพื่อรอพบหมอ มีหมออยู่หลายคน หลายห้อง วันนี้บังเอิญมีนักกายภาพบำบัดมาพูดสอนเรื่องการบริหารสมองด้วย เรามองไปยังบรรดาผู้ป่วย เกือบทุกคนดูท่าทางปกติ บางคนดูเหมือนเป็นคนสุขภาพจิตดีด้วย บางคนใส่ชุดออกกำลังกายด้วย เว้นเสียแต่มีตาลุงอยู่คนนึง ที่ดูเหมือนจะอาการหนักหน่อย คือเขาพูดพร่ำไปเรื่อย พูดหลายเรื่อง บ่นและหัวเราะคนเดียวไม่หยุด แต่เขาก็ยังมีสติอยู่เวลามีเจ้าหน้าที่มาเรียกมาถาม เขานั่งข้างๆเราพอดี ผู้ป่วยแต่ละคนเดินเข้าไปในห้องหมอแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว พอคนก่อนหน้าเราเดินออกมาจากห้องหมอ เราก็เดินเข้าไปในห้องหมอต่อ (เราได้ยินเสียงตาลุงนั่นพูดอยู่ด้านหลังเราว่า "แล้วเธอก็จากไป")
ในห้องหมอ หมอที่เราพบ เป็นผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนเดียวกับที่เราเคยพบเมื่อ 2 ครั้งก่อนนี้ (หมอคนนั้นคงไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว) หมอพลิกแฟ้มดูประวัติการรักษาของเราเมื่อ 2 ครั้งก่อน แล้วก็ถามเราว่าวันนี้มาหาหมอด้วยเรื่องปัญหาอะไร เราก็เล่าปัญหาจากที่ทำงานให้หมอฟัง บอกไปว่ามีปัญหากับหัวหน้าที่ใจร้อน บอกว่าเราเป็นคนเงียบๆ หัวหน้าไม่เข้าใจ คอยตำหนิและกดดันตลอด ปฏิบัติต่อเราต่างจากคนอื่นด้วย ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ หมอถามว่าลาออกจากงานแล้วยัง เราตอบว่ายังไม่ออก แต่ก็รู้สึกอยากออกอยู่เหมือนกัน หมอถามด้วยว่าเคยคิดทำร้ายตัวเองไหม เราก็ตอบว่าไม่ (เราอาจเคยคิดเล่นๆ แต่เราไม่ทำจริงหรอก กลัวเหมือนกัน)
คำแนะนำของหมอที่มีให้เราคือ เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือกล้าพูดให้มากขึ้น ต้องบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้หัวหน้ารู้ อาจช่วยลดความกังวลและทำให้อะไรๆ ดีขึ้น (เราก็แอบคิดในใจว่า "ถ้าเรากล้าพูด เราคงไม่เครียดจนต้องมาหาหมอหรอก") เราก็บอกหมอไปว่า เราเองก็อยากพูดความรู้สึกกับหัวหน้านะ แต่เรากลัว เราไม่รู้ว่าพอพูดออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น (หัวหน้าเราใจร้อน และเขาค่อนข้างยึดมั่นกับความคิดตัวเอง เรากลัวว่าพูดแล้วจะเกิดผลเสีย เรายิ่งเถียงใครไม่เก่งด้วย) หมอบอกว่า ถ้าไม่ได้ใช้คำพูดหยาบคายก็คงไม่เป็นไรหรอก ลองพูดดูสิ บางทีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ จากนั้นหมอก็ให้ยามากิน คือยา Sertraline และยา Polizep
พอพบหมอเสร็จแล้ว ก็เดินลงไปรับยาและจ่ายเงินที่ชั้น 2 สรุปจ่ายไปทั้งหมด 265 บาท (รวมค่าบริการ 100 แอบแพงนะเนี่ย) รวมๆแล้วใช้เวลาทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้าย ประมาณ 3 ชม.
---------------------------------------------------------
ใครอยากไปพบจิตแพทย์ เราแนะนำให้ไปโรงพยาบาลที่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ (แต่เราไม่ได้ไป เพราะมันไกล เราไปสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ต้องออกเงินเองทั้งหมด) หรือถ้าใช้สิทธิ์ 30 บาทได้ก็ใช้เลย และควรจะเตรียมตัวสักหน่อย คือคิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะเล่าปัญหาอะไรให้หมอฟังบ้าง เล่าให้ครบทุกปัญหา ซึ่งเราไม่ได้คิดมาล่วงหน้า เพราะพอนึกจะไปพบจิตแพทย์ เราก็ไปทันทีเลย จึงมีหลายเรื่องที่เราลืมเล่าให้หมอฟัง และถ้าใครอยากเจอหมอที่มีเวลารับฟังปัญหาของเรานานๆ หรือมีเวลาคุยกับเรานานๆ ก็อย่าเลือกโรงพยาบาลรัฐที่มีผู้ป่วยเยอะๆ เพราะแต่ละคนได้ใช้เวลาพบหมอแค่แป๊บเดียว เราเองเข้าไปคุยกับหมอ ยังไม่ทันรู้สึกดีขึ้น ก็ต้องออกจากห้องหมอแล้ว คิดเสียว่าไปเพื่อขอยามากินละกัน
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับใครบ้าง